หลายๆคนคงจะได้ยินวลีที่ว่า “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าเพียงใบเดียว” วลีนี้เราจะมักได้ยินจากนักลงทุนหลายๆคน ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจจะมีบางคนอาจจะเข้าใจไปถึงเรื่องการลงทุนในหุ้น ทองคำ และคิดไปว่านักลงทุนนั้นจะต้องร่ำรวยจึงจะสามารถทำได้ แต่ถ้าจะคิดในแง่ของพนักงานประจำหลายๆคน ก็อาจจะกล่าวไปถึงการมีรายได้ทั้งหมดกี่ทาง การเป็นพนักงานประจำรับค่าจ้างเป็นรายเดือนสำหรับบางคนก็อาจจะเป็นรายได้เพียงทางเดียว ถ้าไม่มีเงินเดือนก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตเป็นปกติได้ การมีรายได้ทางเดียวแบบนี้ก็เหมือนเรามีไข่ในตะกร้าของเงินเดือนที่ได้รับประจำเท่านั้น ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาก็จะคงลำบาก แต่ถ้าใครที่มีความตระหนักในเรื่องนี้ ก็จะสามารถจัดสรรเงินเดือนดังกล่าวไปลงทุน หรือหารายได้เพิ่มอีกหลายๆทาง จากการอ่านหนังสือหลายๆเล่ม ที่เกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ อาทิเช่น “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” ของคุณบอย วิสูตร ก็ได้กล่าวสนับสนุนให้ทุกคนควรมีรายได้หลายๆทาง การมีรายได้หลายๆทางนั้นมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บออมแล้วนำไปลงทุนในหน่วยลงทุนที่ดี เช่นกองทุนรวม หรือบางคนอาจใช้ช่วงเวลาว่างในการทำรายได้เสริม เช่น งานขายต่างๆ เป็นต้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จกล่าวสนับสนุนเรื่องการมีรายได้หลายๆทาง ก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของชีวิตและครอบครัว การมีรายได้หลายๆทางเปรียบเสมือนสายน้ำหลายๆสายที่มาบรรจบยังแม่น้ำใหญ่ เมื่อสายน้ำบางสายเหือดแห้ง แต่ก็ยังมีสายน้ำอื่นๆที่คอยสนับสนุนอยู่ ชีวิตก็ไม่เครียด ไม่เกิดความแตกแยกในครอบครัว พนักงานประจำหลายๆคน จะไม่มีความคิดเรื่องการสร้างรายได้หลายๆทาง แต่มารู้ตัวเมื่อครั้งที่เกิดวิกฤติ ซึ่งมันก็สายไปมากแล้ว เช่น อายุมากใกล้เกษียณ หรือ เกิดความจำเป็นบางอย่างที่ต้องใช้เงิน หรือแม้กระทั่งต้องตกงาน การผ่อนคลายหลังเลิกจากงานประจำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ความตระหนักถึงอนาคตนั้นสำคัญกว่ามาก จะต้องจัดสรรกันให้ดี ระวังในเรื่องของความคิดเรื่องโลกสวยมากเกินไป คิดดูให้ดีว่ารายได้หายจะโลกสวยกันได้มั้ย ลองสังเกตุดูเพื่อนร่วมงานของเราเป็นเช่นไร บางคนจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดในช่วงใกล้สิ้นเดือน
ผู้ที่สนใจงานสร้างรายได้ออนไลน์ มักจะมีคำถามว่า จะเริ่มต้นยังไง ไม่มีความรู้ มองภาพไม่ออก และเหตุผลอีก นานาประการ และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากทุกคนที่เริ่มต้นก็ผ่านจุดนี้มาทั้งนั้น ผู้ที่สร้างรายได้ออนไลน์ก็มีที่สำเร็จเยอะแยะเต็มไปหมด และมีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันมากมาย พอมีผู้สำเร็จมากขึ้นก็มีข้อมูลที่เผยแพร่มากขึ้น จนบ้างครั้งผู้เริ่มต้นก็มีอาการเขว พอเห็นเขาทำตลาดอะไรมีรายได้ดีก็กระโดดเข้าไปศึกษา ตามกระแสของตลาดในขณะนั้น สุดท้ายก็จับทางการทำงานของตัวเองไม่ถูก เรียนรู้กันเยอะจนเกิดอาการที่เรียกว่า “Information Overload” อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดีเต็มไปหมด ถ้าลองสังเกตุให้ดี ผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านออนไลน์จะมีแนวทางหลักๆของเขาเพียงไม่กี่หนทาง บางคนเล่นตลาด Affiliate ของ Amazon.com จนมีรายได้มากมายและก็ทำอยู่อย่างนั้น อยู่รอดจนถึงปัจจุบัน บางคนเล่นตลาด Affiliate ของไทยก็พากันร่ำรวยไม่รู้เรื่องไปก็หลายราย บางคนเน้นตลาด E-Commerce ที่ใครๆก็ว่าสำเร็จยาก แต่ก็ยังมีให้เห็นถึงความสำเร็จมากมายทั้งจาก Ebay, Amazon และ Alibaba บางคนชอบถ่ายภาพเป็นมือโปร ก็จัดรูปลง Stock ขายดีจนเป็น Passive income บางคนเล่นตลาด Contextual Ads. ก็ยังมีรายได้เป็นแสนต่อเดือน บางคนทำ Information Product ก็มีรายได้เป็นแสนจาก E-Book
งานออนไลน์มีหลายรูปแบบ และแต่ละคนก็ถนัดแตกต่างกันไป ถ้าคนที่ชอบงานบริการ การติดต่อสื่อสาร ก็จะมีสินค้าเป็นของตัวเอง เหมาะกับประเภท E-Commerce เป็นต้น แล้วการทำงานในรูปแบบออนไลน์มีอะไรบ้าง ผมพอจะสรุปภาพใหญ่ๆได้ดังนี้ 1. รูปแบบ E-Commerce มีสินค้าเป็นของตัวเอง 2. นายหน้าออนไลน์ หรือ Affiliate Partner 3. รับจ้างจากการโฆษณา เช่น แบนเนอร์ 4. การจำหน่าย Information Product เช่น คอร์สสัมมนาออนไลน์, E-Book 5. การรับงานว่าจ้างต่างๆ เช่นการแปลเอกสาร 6. ธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ จากรูปแบบทั้ง 6 ประเภท คนส่วนใหญ่ย่อมที่จะคุ้นเคยกับรูปแบบ E-Commerce เช่นการขายเครื่องสำอาง การขายของชำร่วย และอีกมากมาย คนส่วนใหญ่จึงกระโดดลงมาทำงานด้าน E-Commerce ส่วนรูปแบบอื่นๆ จะมีผู้คนรู้จักน้อยลง เรามาดูกันว่ารูปแบบการทำงานออนไลน์แต่ละอย่างนั้น เราเหมาะกับแบบไหน 1. E-Commerce ข้อดีของงาน E-Commerce คือ ได้รับผลกำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามที่ต้องการ
คงอาจจะสงสัยว่า งานออนไลน์คืออะไร ทำไมต้องหารายได้ออนไลน์ เราจึงควรมาทำความเข้าใจกันก่อนสักเล็กน้อยเพื่อปรับระบบความคิด และพิจารณาว่าตัวเราเองนั้นเหมาะที่จะหารายได้ออนไลน์ในรูปแบบไหน ผมได้สะดุดกับคำๆหนึ่ง ที่ส่งผลให้ผมต้องเข้ามาศึกษาการสร้างรายได้ออนไลน์มากขึ้นคือคำว่า “Make Money While You Sleep” ซึ่งหมายถึง “การสร้างรายได้แม้กระทั่งคุณยังนอนหลับ” คำนี้หลายๆคนอาจจะตีความไปได้หลายรูปแบบ บางคนอาจจะคิดไปถึง การลงทุนในหน่วยลงทุนที่มีการปันผล ซึ่งเงินปันผลก็คือผลประกอบการ ที่เราจะได้รับ (หรือที่เรียกกันว่าให้เงินทำงาน) บางคนอาจจะนึกไปถึงการหารายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เช่น เช่าคอนโด เช่ารถ เช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่าก็เป็น Passive income กลับมา แต่สำหรับผมแล้วนึกไปถึงการสร้างรายได้ผ่านออนไลน์ แล้วการทำงานออนไลน์มีความแตกต่างจากธุรกิจอื่นอย่างไร จุดเด่นที่แตกต่างกันชัดเจนคือเรื่องการลงทุน ถ้าเราจะลงทุนในหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างๆ สิ่งที่เราต้องหามาก็คือเงินลงทุน และต้องมีจำนวนที่มากพอถึงจะมีการปันผลให้ถึงจุดที่เราสามารถดำเนินชวิตโดยมีการใช้จ่ายตามปกติ หรือถ้าจะทำธุรกิจทรัพย์สินให้เช่า เราก็ต้องมีเงินลงทุนในการซื้อทรัพย์สินนั้นๆ จะเห็นได้ว่า จำนวนเงินลงทุนจะต้องมีมากพอสมควร แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะสร้างรายได้ที่ลงทุนต่ำๆ ธุรกิจออนไลน์สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างลงตัว ซึ่งอาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ได้เคยกล่าวไว้ว่า การลงทุนธุรกิจออนไลน์ เป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุดและสามารถทำกำไรได้อย่างมากด้วย การลงทุนเกี่ยวกับการสร้างรายได้ออนไลน์สามารถลงทุนอย่างมากไม่เกิน 3,000 บาทต่อปี ย้ำนะครับว่าต่อปี ไม่ใช่ต่อเดือน ที่เหลือเป็นความมุ่งมั่นของตัวเราเองล้วนๆ และจุดเด่นของงานออนไลน์ก็คือสามารถทำงานได้ทุกหนแห่ง ในที่ที่มีระบบอินเตอร์เน็ต